Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: , then , .

Budhism Thai-Thai Dict : , 80 found, display 1-50
  1. ยากรณศาสตร์ : วิชาหรือตำราว่าด้วยการทำนาย
  2. ทิจักขุญาณ : ญาณ คือทิจักขุ, ความรู้ดุจดวงอาทิตย์
  3. ทิจักขุ : จักษุทิย์, ตาทิย์, ญาณิเศษของระุทธเจ้า และท่านผู้ได้อภิญญาทั้งหลาย ทำให้สามารถเล็งเห็นหมู่สัตว์ที่เป็นไปต่างๆ กันเราะอำนาจกรรม เรียกอีกอย่างว่า จุตูปปาตญาณ ดู อภิญญา
  4. ทิโสต : หูทิย์, ญาณิเศษที่ทำให้ฟังอะไรได้ยินหมดตามปรารถนา ดู อภิญญา
  5. บุสิกขาวัณณนา : หนังสืออธิบายระวินัย ระอมราภิรักขิต (อมร เกิด) วัดบรมนิวาส เป็นผู้แต่ง
  6. ลักษณะยากรณศาสตร์ : ตำราว่าด้วยการทายลักษณะ
  7. สัสังขาเรสุอนิฏฐสัญญา : กำหนดหมายถึงความไม่น่าปรารถนาในสังขารทั้งปวง (ข้อ ๙ ในสัญญา ๑๐)
  8. อุภโตยัญชนก : คนมีทั้ง ๒ เ
  9. สิถิล : ยัญชนะออกเสียงเลา ได้แก่ยัญชนะที่ ๑ ที่ ๓ ในวรรคทั้ง ๕ คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท, ป
  10. อภิธัมมัตถวิภาวินี : ชื่อคัมภีร์ฎีกาอธิบายความในคัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ ระสุมังคละผู้เป็นศิษย์ของระอาจารย์สารีบุตร ซึ่งเป็นปราชญ์ในรัชกาลของระเจ้าปรักกมาหุที่ ๑ () ศ) ๑๖๙๖-๑๗๒๙) รจนาขึ้นในลังกาทวีป
  11. อภิธัมมัตถสังคหะ : คัมภีร์ประมวล สรุปเนื้อความในระอภิธรรมปิฎกอนุรุทธาจารย์แห่งมูลโสมวิหาร ในลังกาทวีป รจนาขึ้น เมื่อประมาณ ) ศ) ๑๗๐๐
  12. อโศกมหาราช : ระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดระองค์หนึ่งของชมูทวีป และเป็นุทธศาสนูปถัมภกที่สำคัญยิ่ง เป็นกษัตริย์ระองค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์ โมริยะ ครองราชสมบัติ ณ ระนคร ปาฎลีบุตร ตั้งแต่ ) ศ) ๒๑๘ ถึง ) ศ) ๒๖๐ (นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันส่วนมากกว่า ) ศ) ๒๗๐-๓๒๑) เมื่อครองราชย์ได้ ๘ รรษา ทรงยกทัไปปราบแคว้นกลิงคะที่เป็นชนชาติเข้มแข็งลงได้ ทำให้อาณาจักรของระองค์กว้างใหญ่ที่สุดในประวัติชาติอินเดีย แต่ในการสงครามนั้น มีผู้คนล้มตายและประสบภัยิบัติมากมาย ทำให้ระองค์สลดระทัย อดีได้ทรงสดับคำสอนในระุทธศาสนา ทรงเลื่อมใสได้ทรงเลิกการสงคราม หันมาทำนุบำรุงระศาสนาและความรุ่งเรืองในทางสงบของประเทศ ทรงสร้างมหาวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทรงอุปถัมภ์การสังคายนาครั้งที่ ๓ และการส่งศาสนทูตออกไปเผยแร่ระุทธศาสนาในนานาประเทศ เช่น ระมหินถเถระ ไปยังลังกาทวีป และระโสณะระอุตตระมายังสุวรรณภูมิ เป็นต้น ชาวุทธไทยมักเรียกระองค์ว่าระเจ้าศรีธรรมาโศกราช
  13. อินเดีย : ชื่อประเทศ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศไทย ถัดจากประเทศม่าออกไป มีเมืองหลวงชื่อ นิวเดลี (New Delhi) อยู่ห่างจากกรุงเทฯ ประมาณ ๓,๑๐๐ กิโลเมตร อินเดียมีเนื้อที่ทั้งหมด ๓,๒๘๗,๕๙๐ ตารางกิโลเมตร มีลเมืองใน ) ศ) ๒๕๒๔ ประมาณ ๖๘๓ ล้านคน ครั้งโบราณเรียกชมูทวีป เป็นประเทศที่เกิดระุทธศาสนา ุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ของระุทธเจ้า อยู่ห่างจากกรุงเทฯ ประมาณ ๒,๐๐๐ กิโลเมตร
  14. จุลศักราช : ศักราชน้อย ตั้งขึ้นโดยกษัตริย์ม่าองค์หนึ่งใน .ศ.๑๑๘๒ ภายหลังมหาศักราช, เป็นศักราชที่เราใช้กันมาก่อนใช้รัตนโกสินทรศก, นับรอบปีตั้งแต่ ๑๖ เมษายน ถึง ๑๕ เมษายน เขียนย่อว่า จ.ศ.(.ศ.๒๕๒๒ ตรงกับ จ.ศ.๑๓๔๐-๑๓๔๑)
  15. ธัมมปทัฏฐกถา : คัมภีร์อรรถกถา อธิบายความในธรรมบทแห่งขุททกนิกาย ในระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์รจนา หรือเป็นหัวหน้าในการรจนาขึ้น เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ (ชื่อเฉาะว่า ปรมัตถโชติกา)
  16. เนปาล : ชื่อประเทศอันเคยเป็นที่ตั้งของแคว้นศากยะบางส่วน รวมทั้งลุมินีอันเป็นที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของประเทศอินเดียและทางใต้ของประเทศจีน มีเนื้อที่ ๑๔๐,๗๙๗ ตารางกิโลเมตร มีลเมืองประมาณ ๑๓,๔๒๐,๐๐๐ คน (.ศ.๒๕๒๑); หนังสือเก่าเขียน เนปอล
  17. บอกศักราช : เป็นธรรมเนียมของระสงฆ์ไทยแต่โบราณ มีการบอกกาลเวลา เรียกว่าบอกศักราช ตอนท้ายสวดมนต์ และก่อนจะแสดงระธรรมเทศนา (หลังจากให้ศีลจบแล้ว) ว่าทั้งภาษาบาลีและคำแปลภาษาไทย การบอกอย่างเก่า บอกปี ฤดู เดือน วัน ทั้งที่เป็นปัจจุบัน อดีต และอนาคต คือบอกว่าล่วงไปแล้วเท่าใด และยังจะมีมาอีกเท่าใด จึงจะครบจำนวนอายุระุทธศาสนา๕ันปี แต่ประมาณ .ศ.๒๔๘๔ ที่รัฐบาลประกาศใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ เป็นต้นมา ได้มีวิธีบอกศักราชอย่างใหม่ขึ้นใช้แทน บอกเฉาะปี .ศ.เดือน วันที่ และวันในปัจจุบัน ทั้งบาลีและคำแปล บัดนี้ไม่นิยมกันแล้ว คงเป็นเราะมีปฏิทินและเครื่องบอกเวลาอย่างอื่น ใช้กันดื่นทั่วไป
  18. ใบฎีกา : 1.หนังสือนิมนต์ระ ตัวอย่าง “ขออาราธนาระคุณเจ้า (ร้อมด้วยระสงฆ์ในวัดนี้อีก......รูป) เจริญระุทธมนต์ (หรือสวดมนต์ หรือแสดงระธรรมเทศนา) ในงาน.....บ้าน เลขที่.......ตำบล.......อำเภอ.......ในวันที่......เดือน........ศ........เวลา......น.” (หากจะอาราธนาให้รับอาหารบิณฑบาตเช้าหรือเลหรือมีการตักบาตรใช้ปิ่นโต ก็ให้ระบุไว้ด้วย) 2.ตำแหน่งระฐานานุกรมรองจากสมุห์ลงมา
  19. ปปัญจสูทนี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาที่อธิบายความในมัชฌิมนิกาย แห่งระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  20. ปรมัตถโชติกา : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในขุททกปาฐะ ธรรมบทสุตตนิบาต และชาดก แห่งระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์รจนาหรือเป็นหัวหน้าในการจัดเรียบเรียงขึ้น เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  21. ธิ : ต้นโธิ์, ต้นไม้ที่ระุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้, ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้และต้นไม้อื่นที่เป็นชนิดเดียวกันนั้น สำหรับระุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้แก่ ันธุ์ไม้อัสสัตถะ (ต้นโ) ต้นที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยา; ต้นโธิ์ ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่คยา ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยุทธกาล (ปลูกจากเมล็ด) ที่ประตูวัดระเชตวัน โดยระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเรียกชื่อว่า อานันทโธิ; หลังุทธกาล ในสมัยระเจ้าอโศกมหาราช ระนาง สังฆมิตตาเถรี ได้นำกิ่งด้านขวาของต้นมหาโธิ์ที่คยานั้นไปมอบแด่ระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ทรงปลูกไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน; ในประเทศไทย สมัยราชวงศ์จักรี ระสมณทูตไทยในสมัย ร.๒ ได้นำหน่อระศรีมหาโธิ์ที่เมืองอนุราธปุระมา ๖ ต้น ใน .ศ. ๒๓๕๗ โปรดให้ปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นปลูกที่วัดมหาธาตุ วัดสุทัศน์ วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน แห่งละ ๑ ต้น; ต่อมา ในสมัย ร.๕ ประเทศไทยได้ันธุ์ต้นมหาโธิจากคยาโดยตรงครั้งแรก ได้ปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบิตรและวัดอัษฎางคนิมิตร
  22. ธิฤกษ์ : ต้นโธิ์, ต้นไม้ที่ระุทธเจ้าได้ประทับ ณ ภายใต้ร่มเงาในคราวตรัสรู้, ต้นไม้เป็นที่ตรัสรู้และต้นไม้อื่นที่เป็นชนิดเดียวกันนั้น สำหรับระุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ได้แก่ ันธุ์ไม้อัสสัตถะ (ต้นโ) ต้นที่อยู่ ณ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลคยา; ต้นโธิ์ ตรัสรู้ที่เป็นหน่อของต้นเดิมที่คยา ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยุทธกาล (ปลูกจากเมล็ด) ที่ประตูวัดระเชตวัน โดยระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี และเรียกชื่อว่า อานันทโธิ; หลังุทธกาล ในสมัยระเจ้าอโศกมหาราช ระนาง สังฆมิตตาเถรี ได้นำกิ่งด้านขวาของต้นมหาโธิ์ที่คยานั้นไปมอบแด่ระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ ทรงปลูกไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ในลังกาทวีป ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยังคงมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน; ในประเทศไทย สมัยราชวงศ์จักรี ระสมณทูตไทยในสมัย ร.๒ ได้นำหน่อระศรีมหาโธิ์ที่เมืองอนุราธปุระมา ๖ ต้น ใน .ศ. ๒๓๕๗ โปรดให้ปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นปลูกที่วัดมหาธาตุ วัดสุทัศน์ วัดสระเกศและที่เมืองกลันตัน แห่งละ ๑ ต้น; ต่อมา ในสมัย ร.๕ ประเทศไทยได้ันธุ์ต้นมหาโธิจากคยาโดยตรงครั้งแรก ได้ปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบิตรและวัดอัษฎางคนิมิตร
  23. มโนรถปูรณี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในอังคุตตรนิกาย แห่งระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงจากอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  24. มหาวงส์ : ชื่อหนังสืองศาวดารลังกา เรื่องใหญ่ แต่งขึ้นในสมัยอรรถกถารรณนาความเป็นมาของระุทธศาสนาและชาติลังกา ตั้งแต่เริ่มตั้งวงศ์กษัตริย์สิงหล ในตอนุทธปรินิาน จนถึงประมาณ .ศ.๙๐๔ ประวัติต่อจากนั้นมีคัมภีร์ชื่อ จูฬวงส์ รรณนาต่อไป
  25. มังคลัตถทีปนี : ชื่อคัมภีร์อธิบายมงคล ๓๘ ประการ ในมงคลสูตร ระสิริมังคลาจารย์แห่งลานนาไทย รจนาขึ้นที่เมืองเชียงใหม่ เมื่อ .ศ.๒๐๖๗ โดยรวบรวมคำอธิบายจากอรรถกถาฎีกา อนุฎีกาต่างๆ เป็นอันมาก ร้อมทั้งคำบรรยายของท่านเอง
  26. มิลินท์ : มหากษัตริย์เชื้อชาติกรีก แห่งสาคลประเทศในชมูทวีป ผู้เป็นปราชญ์ยิ่งใหญ่ โต้วาทะชนะนักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยนั้น จนในที่สุดได้โต้กับระนาคเสน ยอมเลื่อมใสหันมานับถือระุทธศาสนา และเป็นองค์อุปถัมภกสำคัญ ระนามภาษากรีกว่า ระเจ้าเมนานเดอร์ ครองราชย์ .ศ.๔๒๓ สวรรคต .ศ.๔๕๓
  27. วัฏฏคามณีอภัย : ชื่อระเจ้าแผ่นดินแห่งเกาะลังการะองค์หนึ่ง ครองราชย์ประมาณ .ศ.๕๑๕-๕๒๗ ถูกวกทมิฬแย่งชิงราชสมบัติ เสด็จไปซ่อนระองค์อยู่ในป่า และได้รบความช่วยเหลือจากระเถระรูปหนึ่ง ต่อมาระองค์กู้ราชสมบัติคืนมา ได้ทรงสร้างอภัยคีรีวิหารและอาราธนาระเถระรูปนั้นมาอยู่ครอง กับทั้งได้ทรงทำนุบำรุงระุทธศาสนาอีกเป็นอันมาก การสังคายนาครั้งที่ ๕ ที่จารึกุทธจน์ลงในใบลาน ก็จัดทำในรัชกาลนี้
  28. วัตถุ ๑๐ : เรื่องที่เป็นต้นเหตุ, ข้อซึ่งเป็นที่ตั้งหรือเป็นจุดเริ่มเรื่อง, ข้อปฏิบัติ ๑๐ ประการของวกภิกษุวัชชีบุตร ชาวเมืองเวสาลี ที่ผิดเี้ยนย่อหย่อนทางระวินัย แปลจากสงฆ์วกอื่นเป็นเหตุปรารภให้มีการสังคายนาครั้งที่ ๒ เมื่อ .ศ.๑๐๐
  29. วิสุทธิมรรค : ปกรณ์ิเศษอธิบายศีล สมาธิ ปัญญา ตามแนววิสุทธิ ๗ ระุทธโฆษาจารย์ ระอรรถกถาจารย์ชาวอินเดียเป็นผู้แต่งที่มหาวิหารในเกาะลังกา; ระุทธโฆสาจารย์ผู้นี้เป็นบุตรราหมณ์ เกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งใกลุ้ทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของระุทธเจ้า ในแคว้นมคธ เมื่อประมาณ .ศ.๙๕๖ เรียนจบไตรเทมีความเชี่ยวชาญมาก ต่อมาบกับระเรวตเถระ ได้โต้ตอบปัญหากัน สู้ระเรวตเถระไม่ได้ จึงขอบวชเื่อเรียนุทธวจนะ มีความสามารถมาก ได้รจนาคัมภีร์ญาโณทัย เป็นต้น ระเรวตเถระจึงแนะนำให้ไปเกาะลังกา เื่อแปลอรรถกถาสิงหฬ กลับเป็นภาษามคธ ท่านเดินทางไปที่มหาวิหาร เกาะลังกา เมื่อขออนุญาตแปลคัมภีร์ ถูกระเถระแห่งมหาวิหารให้คาถามา ๒ บท เื่อแต่งทดสอบความรู้ ระุทธโฆส จึงแต่งคำอธิบายคาถาทั้ง ๒ นั้นขึ้นเป็นคัมภีร์วิสุทธิมรรค จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ทำงาน แปลอรรถกถาได้ตามประสงค์ เมื่อทำงานเสร็จสิ้นแล้ว ท่านก็เดินทางกลับสู่ชมูทวีป ระุทธโฆสาจารย์ เป็นระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด มีผลงานมากที่สุด
  30. สมันตปาสาทิกา : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในระวินัยปิฎก ระุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงขึ้น เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐ โดยปรึกษาอรรถกถาภาษาสิงหฬที่มีอยู่ก่อน ชื่อ มหาปัจจริย และกุรุนที
  31. สยามวงศ์ : ชื่อนิกายระสงฆ์ลังกาที่บวชจากระสงฆ์สยาม (คือระสงฆ์ไทย) ในสมัยอยุธยา ซึ่งระอุบาลีเป็นหัวหน้าไปประดิษฐาน ใน .ศ.๒๒๙๖
  32. สังฆการี : เจ้าหน้าที่ผู้ทำการสงฆ์, เจ้านักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับสงฆ์ในงานหลวง, เจ้าหน้าที่ผู้เป็นนักงานในการิธีสงฆ์ มีมาแต่โบราณสมัยอยุธยาสังกัดในกรมสังฆการี ซึ่งรวมอยู่ด้วยกันกับกรมธรรมการเรียกรวมว่ากรมธรรมการสังฆการี เดิมเรียกว่า สังกะรีหรือสังการี เปลี่ยนเรียกสังฆการีในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาเมื่อตั้งกระทรวงธรรมการใน .ศ.๒๔๓๒ กรมธรรมการสังฆการีเป็นกรมหนึ่งในสังกัดของกระทรวงนั้น จนถึง .ศ.๒๔๕๔ กรมสังฆการีจึงแยกเป็นกรมต่างหากกันกับกรมธรรมการ ต่อมาใน .ศ.๒๔๗๖ กรมสังฆการีถูกยุบลงเป็นกองสังกัดในกรมธรรมการกระทรวงศึกษาธิการ ต่อมาอีกใน .ศ.๒๔๘๔ กรมธรรมการเปลี่ยนชื่อเป็นกรมศาสนา และในคราวท้ายสุด .ศ.๒๕๑๕ กองสังฆการีได้ถูกยุบเลิกไป และมีกองศาสนูปถัมภ์ขึ้นมาแทน ปัจจุบันจึงไม่มีสังฆการี; บางสมัยสังฆการีมีอำนาจหน้าที่กว้างขวาง มิใช่เป็นเียงเจ้านักงานในราชิธีเท่านั้น แต่ทำหน้าที่ชำระอธิกรณ์ิจารณาโทษแก่ระสงฆ์ผู้ล่วงละเมิดสิกขาบทประฤติผิดธรรมวินัยด้วย
  33. สัทธัมมปกาสินี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในปฏิสัมภิทามรรค แห่งระสุตตันตปิฎก ระมหานามรจนาในเกาะลังกา ประมาณ .ศ.๑๐๖๐
  34. สารนาถ : ชื่อปัจจุบันของอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้นคราราณสี สถานที่ระุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา เคยเจริญรุ่งเรืองมาก เป็นศูนย์กลางการศึกษาทางุทธศาสนาที่สำคัญแห่งหนึ่งมีเจดีย์ใหญ่สูง ๒๐๐ ฟุต ถูกชาวฮินดูทำลายก่อน แล้วถูกนายทัมุสลิมทำลายสิ้นเชิงใน .ศ.๑๗๓๘ (สารนาถมาจาก สารังคนาถ แปลว่า ที่ึ่งของเหล่ากวางเนื้อ)
  35. สารัตถทีปนี : ชื่อคัมภีร์ฎีกาอธิบายความในสมันตปาสาทิกา ซึ่งเป็นอรรถกถาแห่งระวินัยปิฎก ระสารีบุตรเถระแห่งเกาะลังกา เป็นผู้รจนาในรัชกาลของระเจ้าปรักกมาหุที่ ๑ (.ศ.๑๖๙๖-๑๗๒๙)
  36. สารัตถปกาสินี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในสังยุตตนิกาย แห่งระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์รจนาในเกาะลังกา เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  37. สุมังคลวิลาสินี : ชื่อคัมภีร์อรรถกถาอธิบายความในทีฆนิกาย แห่งระสุตตันตปิฎก ระุทธโฆษาจารย์เรียบเรียงขึ้น โดยอาศัยอรรถกถาภาษาสิงหฬ เมื่อ .ศ.ใกล้จะถึง ๑๐๐๐
  38. โสณกะ : ระเถระรูปหนึ่งในจำนวน ๒ รูป (อีกรูปหนึ่งคือ ระอุตตรเถระ) ที่ระโมคัลลีบุตรติสสเถระ ส่งเป็นระศาสนทูตมาประกาศระศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อเสร็จสิ้นการสังคายนาครั้งที่ ๓ (ประมาณ .ศ.๒๓๔) นับเป็นสายหนึ่งในระศาสนทูต ๙ สาย
  39. โสณะ : ระเถระรูปหนึ่งในจำนวน ๒ รูป (อีกรูปหนึ่งคือ ระอุตตรเถระ) ที่ระโมคัลลีบุตรติสสเถระ ส่งเป็นระศาสนทูตมาประกาศระศาสนา ในดินแดนสุวรรณภูมิ เมื่อเสร็จสิ้นการสังคายนาครั้งที่ ๓ (ประมาณ .ศ.๒๓๔) นับเป็นสายหนึ่งในระศาสนทูต ๙ สาย
  40. วินัยมุข : มุขแห่งวินัย, หลักใหญ่ๆ หรือหัวข้อสำคัญๆ ทีเป็นเบื้องต้นแห่งระวินัย หรือเป็นปากทางนำเข้าสู่วินัยเป็นชื่อหนังสือที่สมเด็จระมหาสมณเจ้า กรมระยาวชิรญาณวโรรสทรงรจนาขึ้น เื่อชี้ประโยชน์แห่งระวินัยมุ่งช่วยให้ระภิกษุสามเณรตั้งอยู่ในปฏิบัติองาม ผู้ไม่เคร่งจะได้รู้จักสำรวมรักษามรรยาทสมเป็นสมณะฝ่ายผู้เคร่งครัดเกินไปจะได้หายงมงาย ไม่สำคัญตนว่าดีกว่าผู้อื่น ตั้งรังเกียจผู้อื่นเราะเหตุผลเล็กน้อย เียงสักว่าธรรมเนียมหรือแม้ชักนำผู้อื่นในปฏิบัติอันดี ต่างจะได้อานิสงส์คือไม่มีวิปฏิสาร; ทรงมุ่งหมายเื่อจะแต่งแก้หนังสือบุสิกขาวัณณนาของระอมราภิรักขิต (อมร เกิด) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส; จัดิม์เป็น ๓ เล่ม ใช้เป็นแบบเรียนนักธรรมชั้นตรี ชั้นโท และชั้นเอก ตามลำดับ
  41. จักขุ : ตา ของระุทธเจ้า มี ๕ คือ มังสจักขุ ทิจักขุ ปัญญาจักขุ ุทธจักขุ สมันตจักขุ (ดูที่คำนั้นๆ)
  42. จักษุทิย์ : ตาทิย์ คือดูอะไรเห็นได้หมด ดู ทิจักษุ
  43. ชีวิตินทรีย์ : อินทรีย์คือชีวิต, สภาวะที่เป็นใหญ่ในการตามรักษาสหชาตธรรม (ธรรมที่เกิดร่วมด้วย) ดุจน้ำหล่อเลี้ยงดอกบัว เป็นต้น มี ๒ ฝ่ายคือ ๑.ชีวิตินทรีย์ที่เป็นชีวิตรูป เป็นอุปาทาย รูปอย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๑๓) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงเหล่ากรรมชรูป (รูปที่เกิดแต่กรรม) บางทีเรียก รูป ชีวิตินทรีย์ ๒.ชีวิตินทรีย์ที่เป็นเจตสิกเป็นสัจิตตสาธารณเจตสิก (เจตสิกที่เกิดกับจิตทุกดวง) อย่างหนึ่ง (ข้อที่ ๖) เป็นเจ้าการในการรักษาหล่อเลี้ยงนามธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งหลาย บางทีเรียก อรูปชีวิตินทรีย์ หรือ นามชีวิตินทรีย์
  44. เชษฐ : ี่
  45. เชษฐา : ี่
  46. ญาณทัศนะ : การเห็นกล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือ เห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุดหมายถึง วิปัสสนาญาณ นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิจักขุญาณบ้าง มรรคญาณบ้าง และในบางกรณีหมายถึง ผลญาณบ้าง ปัจจเวกขณญาณบ้าง สััญญุตญาณบ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้นๆ
  47. ญาณทัสสนะ : การเห็นกล่าวคือการหยั่งรู้, การเห็นที่เป็นญาณ หรือ เห็นด้วยญาณ อย่างต่ำสุดหมายถึง วิปัสสนาญาณ นอกนั้นในที่หลายแห่งหมายถึง ทิจักขุญาณบ้าง มรรคญาณบ้าง และในบางกรณีหมายถึง ผลญาณบ้าง ปัจจเวกขณญาณบ้าง สััญญุตญาณบ้าง ก็มี ทั้งนี้สุดแต่ข้อความแวดล้อมในที่นั้นๆ
  48. ทัสัมภาระ : เครื่องเคราและส่วนประกอบทั้งหลาย, สิ่งและเครื่องอันเป็นส่วนประกอบที่จะคุมกันเข้าเป็นเรือน เรือ รถหรือเกวียนเป็นต้น; เขียนเต็มว่า ทัสัมภาระ
  49. ทิยจักษุ : ตาทิย์, ญาณิเศษที่ทำให้ดูอะไรเห็นได้หมดตามปรารถนา ดู ทิจักขุ
  50. วิชชา : ความรู้แจ้ง, ความรู้วิเศษ; วิชชา ๓ คือ ๑.ปุนิวาสานุสติญาณ ความรู้ที่ได้ระลึกชาติได้ ๒.จุตูปปาตญาณ ความรู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย ๓.อาสวักขยญาณ ความรู้ที่ทำอาสวะให้สิ้น; วิชชา ๘ คือ ๑.วิปัสสนาญาณ ญาณในวิปัสสนา ๒.มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ ๓.อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ได้ต่างๆ ๔.ทิโสต หูทิย์ ๕.เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้ ๖.ปุนิวาสานุสติ ๗.ทิจักขุ ตาทิย์ (=จุตูปปาตญาณ) ๘.อาสวักขยญาณ
  51. [1-50] | 51-80

(0.0232 sec)