Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: , then , , .

Budhism Thai-Thai Dict : , 122 found, display 1-50
  1. จิตตกะ : มีเจตนา, เป็นไปโดยตั้งใจ, เป็นชื่อของอาบัติพวกหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยมุฏฐานมีเจตนา คือ ต้องจงใจทำจึงจะต้องอาบัตินั้น เช่น ภิกษุหลอนภิกษุให้กลัวผี ต้องปาจิตตีย์ ข้อนี้เป็นจิตตกะ คือ ตั้งใจหลอกจึงต้องปาจิตตีย์ แต่ถ้าไม่ได้ตั้งใจจะหลอก ไม่ต้องอาบัติ
  2. เตกิจฉา : อาบัติที่ยังพอเยียวยาหรือแก้ไขได้ ได้แก่ อาบัติอย่างกลางและอย่างเบา คือตั้งแต่ังฆาทิเลงมา; คู่กับ อเตกิจฉา
  3. ทารันโดษ : ความพอใจด้วยภรรยาของตน, ความยินดีเฉพาะภรรยาของตน (ข้อ ๓ ในเบญจธรรม), จัดเป็นพรหมจรรย์อย่างหนึ่ง
  4. ปิณฑะ : ผู้ร่วมก้อนข้าว, พวกพราหมณ์หมายเอาบุรพบิดร ๓ ชั้น คือ บิดา, ปู่, ทวด ซึ่งเป็นผู้ควรที่ลูกหลานแหลนจะเซ่นด้วยก้อนข้าว
  5. พรหมจารี : ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ร่วมกัน, เพื่อนพรหมจรรย์, เพื่อนบรรพชิต, เพื่อนนักบวช
  6. โภชนกุล : กุลที่กำลังบริโภคอาหารอยู่, ครอบครัวที่กำลังบริโภคอาหารอยู่ (ห้ามไม่ให้ภิกษุไปนั่งแทรกแซง ตามิกขาบทที่ ๓ แห่งอเจลกวรรค ปาจิตติยกัณฑ์)
  7. วัดิมงคล : มงคล คือ ความวัดี
  8. วิญญาณกะ : ิ่งที่มีวิญญาณ ได้แก่ ัตว์ต่าง ๆ เช่น แพะ แกะ ุกร โค กระบือ เป็นต้น เทียบ อวิญญาณกะ
  9. ังขารปรินิพพายี : พระอนาคามีผู้จะปรินิพพานด้วยต้องใช้ความเพียร ดู อนาคามี
  10. ังขาริก : “เป็นไปกับด้วยการชักนำ”, มีการชักนำ ใช้แก่จิตที่คิดดีหรือชั่ว โดยถูกกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก มิใช่เริ่มขึ้นเอง และมีกำลังอ่อน ตรงข้ามกับ อังขาริก ซึ่งแปลว่า ไม่มีการชักนำ คือ จิตคิดดีหรือชั่ว โดยเริ่มขึ้นเอง มิใช่ถูกกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก จึงมีกำลังมาก
  11. ปริวิบัติ : ียเพราะบริษัท, วิบัติโดยบริษัท, ถึงพร้อมด้วยบริษัท, ความมบูรณ์ของที่ประชุม คือไม่เป็นปริวิบัติ (ตัวอย่าง ประชุมภิกษุให้ครบองค์กำหนด เช่น จะทำกฐินกรรม ต้องมีภิกษุอย่างน้อย ๕ รูป จะให้อุปมบทในมัธยมประเทศ ต้องมีภิกษุอย่างน้อย ๑๐ รูป เป็นต้น)
  12. วิ : 1.ความคุ้นเคย, ความนิทนม การถือว่าเป็นกันเอง, ในทางพระวินัย การถือเอาของของผู้อื่นที่จัดว่าเป็นการถือวิะ มีองค์ ๓ คือ ๑.เคยเห็นกันมา เคยคบกันมา หรือได้พูดกันไว้ ๒.เจ้าของยังมีชีวิตอยู่ ๓.รู้ว่าของนั้นเราถือเอาแล้ว เขาจักพอใจ, บัดนี้นิยมเขียน วิะ 2.ความนอนใจ ดังพุทธดำรัว่า “ภิกษุเธอยังไม่ถึงความิ้นอาวะแล้ว อย่าได้ถึง วิะ (ความนอนใจ)”
  13. กายัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะกายัมผั, ความรู้ึกที่เกดขึ้นเพราะการที่กาย โผฏฐัพพะและกายวิญญาณประจวบกัน
  14. ฆานัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะฆานัมผั, ความรู้ึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่จมูก กลิ่น และฆานวิญญาณประจวบกัน
  15. จักขุัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุัมผั, ความรู้ึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ตา รูป และจักขุวิญญาณประจวบกัน
  16. ชิวหาัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะชิวหาัมผั, ความรู้ึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ ลิ้น ร และชิวหาวิญญาณประจวบกัน
  17. ปฏิวะ : การฝืนคำรับ, รับแล้วไม่ทำตามรับ เช่น รับนิมนต์ว่าจะไปแล้วหาไปไม่ (พจนานุกรม เขียน ปฏิวะ)
  18. ปริทูโก : ผู้ประทุษร้ายบริษัท เป็นคนพวกหนึ่งที่ถูกห้ามบรรพชา หมายถึงผู้มีรูปร่างแปลกเพื่อน เช่น ูงหรือเตี้ยจนประหลาด ศีรษะโต หรือ หลิม เหลือเกิน เป็นต้น
  19. ปัณฑุปลา : ใบไม้เหลือง (ใบไม้แก่); คนเตรียมบวช, คนจะขอบวช
  20. ผลาโว : ผลาวะ, น้ำดองผลไม้
  21. มโนัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนัมผั, ความรู้ึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่ใจ ธรรมารมณ์และมโนวิญญาณประจวบกัน ดู เวทนา
  22. มรณัติ : ดู มรณติ
  23. มหาปุริวิตก : ธรรมที่พระมหาบุรุษตรึก, ความนึกคิดของพระโพธิัตว์
  24. วปลา : กิริยาที่ถือโดยอาการวิปริตผิดจากความเป็นจริง, ความเห็นหรือความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากภาพที่เป็นจริง มีดังนี้; ก.วิปลาด้วยอำนาจจิตต์และเจติก ๓ ประการ คือ ๑.วิปลาด้วยอำนาจำคัญผิด เรียกว่า “ัญญาวิปลา” ๒.วิปลาด้วยอำนาจคิดผิด เรียกว่า “จิตตวิปลา” ๓.วิปลาด้วยอำนาจเห็นผิด เรียกว่า “ทิฏฐิวิปลา” ข.วิปลาด้วยามารถวัตถุเป็นที่ตั้ง ๔ ประการ คือ ๑.วิปลาในของที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ๒.วิปลาในของที่เป็นทุกข์ว่าเป็นุข ๓.วิปลาในของที่ไม่ใช่ตน ว่าเป็นตน ๔.วิปลาในของที่ไม่งาม ว่างาม
  25. วิิกชน : คนที่นิทนมคุ้นเคย, คนคุ้นเคยกัน, วิิกชน ก็ใช้
  26. เวาขมา : เดือน ๖
  27. ัมผัชาเวทนา : เวทนาที่เกิดขึ้นเพราะโัมผั, ความรู้ึกที่เกิดขึ้นเพราะการที่หู เียง และโตวิญญาณกระทบกัน
  28. อตีตังญาณ : ญาณหยั่งรู้่วนอดีต, ปรีชากำหนดรู้เหตุการณ์ที่ล่วงไปแล้ว อันเป็นเหตุให้ได้รับผลในปัจจุบัน (ข้อ ๑ ในญาณ ๓)
  29. อตีตานาคตังญาณ : ญาณเป็นเครื่องรู้ถึงเรื่องที่ล่วงมาแล้ว และเรื่องที่ยังไม่มาถึง, ญาณหยั่งรู้ทั้งอดีตและอนาคต
  30. อัชิ : 1) พระมหาาวกองค์หนึ่งเป็นพระเถระรูปหนึ่งในคณะปัญจวัคคีย์ เป็นพระอรหันต์รุ่นแรกและเป็นอาจารย์ของพระารีบุตร 2) ชื่อภิกษุรูปหนึ่งในภิกษุ ๖ รูป ซึ่งประพฤติเหลวไหลที่เรียกว่า พระฉัพพัคคีย์ คู่กับพระปุนัพพุกะ
  31. อัพาชี : ม้า
  32. อัยุชมา : เดือน ๑๑; ปุพพกัตติกา หรือ บุพกัตติกา ก็เรียก
  33. อานาปานัติ : ติกำหนดลมหายใจเข้าออก (ข้อ ๙ ในอนุติ ๑๐, ข้อ ๑๐ ในัญญา ๑๐ เป็นต้น) บัดนี้นิยมเขียน อานาปานติ
  34. อาวักขยญาณ : ความรู้เป็นเหตุิ้นอาวะ, ญาณหยั่งรู้ในธรรมเป็นที่ิ้นไปแห่งอาวะทั้งหลาย, ความตรัรู้ (เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าได้ในยามุดท้ายแห่งราตรี วันตรัรู้) (ข้อ ๓ ในวิชชา ๓, ข้อ ๖ ในอภิญญา ๖, ข้อ ๘ ในวิชชา ๘, ข้อ ๑๐ ในทศพลญาณ)
  35. อุทเทวิภังคูตร : ชื่อูตรที่ ๓๘ แห่งมัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาก์ พระุตตันตปิฎก พระพุทธเจ้าทรงแดงเรื่องวิญญาณไว้โดยย่อ ภิกษุทั้งหลายอยากฟังโดยพิดาร จึงขอให้พระมหากัจจายนะอธิบายความ พระมหากัจจายนะแดงได้เนื้อความถูกต้องชัดเจนดีมาก จนได้รับคำยกย่องชมเชยจากพระพุทธเจ้า
  36. อุทิมัง : เนื้อัตว์ที่เขาฆ่าเจาะจงเพื่อถวายภิกษุ ท่านมิให้ภิกษุฉัน, หากภิกษุฉันทั้งได้เห็น ได้ยิน หรือัยว่าเขาฆ่าเพื่อถวายตน ต้องอาบัติทุกกฏ
  37. อุปติ : ดู ารีบุตร
  38. อุาวนันติกา : กัปปิยภูมิที่ทำด้วยการประกาศ ได้แก่ กุฎีที่ภิกษุทั้งหลายตกลงกันแต่ต้นว่าจะทำเป็นกัปปิยกุฎี ในเวลาที่ทำ พอช่วยกันยกเาหรือตั้งฝาทีแรก ก็ร้องประกาศให้รู้กันว่า “กปฺปิยกุฎึ กโรม” ๓ หน (แปลว่า เราทั้งหลายทำกัปปิยกุฎี); ดู กัปปิยภูมิ
  39. ทันตชะ : อักษรเกิดแต่ฟัน คือ ต ถ ท ธ น และ
  40. งกรานต์ : การย้าย คือ ดวงอาทิตย์ย้ายราศี ในที่นี้หมายถึงมหางกรานต์ คือพระอาทิตย์ย้ายเข้าู่ราศีเมษ นับเป็นเวลาขึ้นปีใหม่อย่างเก่า จัดเป็นนักขัตฤกษ์ ซึ่งตามุริยคติตกวันที่ ๑๓, ๑๔, ๑๕ เมษายน ตามปกติ (.งฺกฺรานฺติ)
  41. กัปปิยภูมิ : ที่ำหรับเก็บเบียงอาหารของวัด, ครัววัด มี ๔ อย่าง คือ อุาวนันติกา กัปปิยภูมิที่ทำด้วยการประกาศให้รู้แต่แรกร้างว่าจะทำเป็นกัปปิยภูมิ คือพอเริ่มยกเาหรือตั้งฝาก็ประกาศให้ได้ยินว่า กปฺปิยภูมึ กโรม แปลว่า เราทั้งหลายทำกัปปิยกุฎี ๑ โคนิาทิกา กัปปิยภูมิขนาดเล็ก เคลื่อนที่ได้ ดุจเป็นที่โคจ่อม ๑ คหปติกา เรือนของคฤหบดีเขาร้างถวายเป็นกัปปิยภูมิ ๑ ัมมติกา กัปปิยภูมิที่งฆ์มมติ ได้แก่ กุฎีที่งฆ์เลือกจะใช้เป็นกัปปิยกุฎี แล้ววดประกาศด้วยญัตติทุติยกรรม ๑
  42. กัมมัฏฐาน ๔๐ : คือกิณ ๑๐ อุภะ ๑๐ อนุติ ๑๐ พรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ อรูป ๔
  43. กามภพ : ที่เกิดของผู้ที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกาม, โลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้เพกาม ได้แก่ อบายภูมิ ๔ มนุษยโลก และวรรค์ ๖ ชั้น ตั้งแต่ชั้นจาตุมหาราชิกา ถึงชั้นปรนิมมิตวัตดีรวมเป็น ๑๑ ชั้น - the sphere or state of existence dominated by sensual pleasure; Sensuous Existence; Sense-Sphere.
  44. ของังฆกรรม : มี ๔ คือ ๑.วัตถุวิบัติ เียโดยวัตถุ เช่น อุปมบทคนอายุต่ำกว่า ๒๐ ปี ๒.ีมาวิบัติ เียโดยีมา เช่น ีมาไม่มีนิมิต ๓.ปริวิบัติ เียโดยบริษัทคือที่ประชุม เช่น ภิกษุเข้าประชุมไม่ครบองค์งฆ์ ๔.กรรมวาจาวิบัติ เียโดยกรรมวาจา เช่น วดผิดพลาดตกหล่น วดแต่อนุาวนาไม่ได้ตั้งญัตติ เป็นต้น (ข้อกรรมวาจาวิบัติบางกรณีแยกเป็นญัตติวิบัติและอนุาวนาวิบัติ กลายเป็นวิบัติ ๕ ก็มี) เทียบ มบัติ
  45. ขึ้นวัตร : โวหารเรียกวินัยกรรมเกี่ยวกับวุฏฐานวิธีอย่างหนึ่ง คือเมื่อภิกษุต้องครุกาบัติชั้นังฆาทิเแล้วอยู่ปริวา ยังไม่ครบเวลาที่ปกปิดอาบัติไว้หรือประพฤติมานัตอยู่ยังไม่ครบ ๖ ราตรี พักปริวาหรือมานัตเียเนื่องจากมีเหตุอันมควร เมื่อจะมาทานวัตรใหม่เพื่อประพฤติปริวาหรือมานัตที่เหลือนั้น เรียกว่าขึ้นวัตรคือการมาทานวัตรนั่นเอง ถ้าขึ้นปริวาพึ่งกล่าวคำในำนักภิกษุรูปหนึ่งว่า ปริวามาทิยามิ ข้าพเจ้าขึ้นปริวา วตฺตํ มาทิยามิ ข้าพเจ้าขึ้นวัตร
  46. ญาณ : ความรู้, ปรีชาหยั่งรู้, ปรีชากำหนดรู้; ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑.อตีตังญาณ ญาณใน่วนอดีต ๒.อนาคตังญาณ ญาณใน่วนอนาคต ๓.ปัจจุปปันนังญาณ ญาณใน่วนปัจจุบัน; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑.ัจจญาณ หยั่งรู้อริยัจแต่ละอย่าง ๒.กิจจญาณ หยั่งรู้กิจในอริยัจ ๓.กตญาณ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยัจ; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ วิชชา ๓
  47. พลญาณ : พระญาณเป็นกำลังของพระพุทธเจ้า ๑๐ ประการ เรียกตามบาลีว่า ตถาคตพลญาณ (ญาณเป็นกำลังของพระตถาคต) ๑๐ คือ ๑.ฐานาฐานญาณ ๒.กรรมวิปากญาณ ๓.ัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ๔.นานาธาตุญาณ ๕.นานาธิมุตติกญาณ ๖.อินทริยปโรปริยัตตญาณ ๗.ฌานาทิังกิเลาทิญาณ ๙.จุตูปปาตญาณ ๑๐.อาวักขยญาณ; นิยมเขียน ทศพลญาณ; ดู ญาณ ชื่อนั้นๆ
  48. นกุลบิดา : “พ่อของนกุล”, คฤหบดี ชาวเมืองุงุมารคีรี ในแคว้นภัคคะ มีภรรยาชื่อ นกุลมารดา มัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเด็จมายังเมืองุงุมารคีรี ประทับที่ป่าเภกลาวัน ท่านคฤหบดีและภรรยาไปเฝ้าพร้อมกับชาวเมืองคนอื่นๆ พอได้เห็นครั้งแรก ทั้ง ๒ ามีภรรยาก็เกิดความรู้ึกนิทหมายใจเหมือนว่าพระพุทธเจ้าเป็นบุตรของตน ได้เข้าไปถึงพระองค์และแดงความรู้ึกนั้น พระพุทธเจ้าได้แดงธรรมโปรด ทั้ง ๒ ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระโดาบัน ท่านนกุลบิดาและนกุลมารดานี้ เป็นคู่ามีภรรยาตัวอย่าง ผู้มีความจงรักภักดีต่อกันอย่างบริุทธิ์และมั่นคงยั่งยืน ตราบเท่าชรา ทั้งยังปรารถนาจะพบกันทั้งชาตินี้และชาติหน้า เคยทูลขอให้พระพุทธเจ้าแดงหลักธรรมที่จะทำให้ามีภรรยาครองรักกันยั่งยืนตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้า เมื่อท่านนกุลบิดาเจ็บป่วยออดแอดร่างกายอ่อนแอ ไม่บายด้วยโรคชรา ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนาครั้งหนึ่ง ที่ท่านประทับใจมากคือ พระดำรัที่แนะนำให้ทำใจว่า “ถึงแม้ร่างกายของเราจะป่วย แต่ใจของเราจะไม่ป่วย” ท่านนกุลบิดาได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในบรรดาอุบากผู้นิทนมคุ้นเคย (วิิกะ)
  49. เบญจธรรม : ธรรม ๕ ประการ, ความดี ๕ อย่างที่ควรประพฤติคู่กันไปกับการรักษาเบญจศีลตามลำดับข้อดังนี้ ๑.เมตตากรุณา ๒.ัมมาอาชีวะ ๓.กามังวร (ำรวมในกาม) ๔.ัจจะ ๕.ติัมปชัญญะ ; บางตำราว่าแปลกไปบางข้อคือ ๒.ทาน ๓.ทารันโดษ = พอใจเฉพาะภรรยาของตน ๕.อัปปมาทะ = ไม่ประมาท ; เบญจกัลยาณธรรม ก็เรียก
  50. ปริวา : การอยู่ชดใช้ เรียกามัญว่า อยู่กรรม, เป็นชื่อวุฏฐานวิธี (ระเบียบปฏิบัติำหรับออกจากครุกาบัติ) อย่างหนึ่ง ซึ่งภิกษุผู้ต้องอาบัติังฆาทิเแล้วปกปิดไว้ จะต้องประพฤติเป็นการลงโทษตนเองชดใช้ให้ครบเท่าจำนวนวันที่ปิดอาบัติ ก่อนที่จะประพฤติมานัตอันเป็นขั้นตอนปกติของการออกจากอาบัติต่อไป, ระหว่างอยู่ปริวา ต้องประพฤติวัตรต่างๆ เช่น งดใช้ิทธิบางอย่าง ลดฐานะของตน และประจานตัวเป็นต้น; ปริวา มี ๓ อย่าง คือ ปฏิจฉันนปริวา โมธานปริวา และ ุทธันตปริวา; มีปริวาอีกอย่างหนึ่งำหรับนักบวชนอกศานา จะต้องประพฤติก่อนที่จะบวชในพระธรรมวินัย เรียกว่า ติตถิยปริวา ซึ่งท่านจัดเป็น อปริจฉันนปริวา
  51. [1-50] | 51-100 | 101-122

(0.0513 sec)