Dictionary : English, Thai, Pali. Link : Lexitron, RoyDict, BudDict, ETipitaka, PpmDict, Longdo.
Search: , then , .

Budhism Thai-Thai Dict : , 68 found, display 1-50
  1. ชาบดี : 1.ภรรยา, เมีย 2.ดู มหาชาบดีโคตมี
  2. ขาว : ชายผู้จำศีล
  3. วัตตมังสะ : เนื้อที่มีอยู่แล้ว คือเนื้อสัตว์ที่เขาขายอยู่ตามกติสำหรับคนทั่วๆ ไ ไม่ใช่ฆ่าเพื่อเอาเนื้อมาถวายพระ, ตรงข้ามกับ อุทิสสมังสะ
  4. วัตตินี : คำเรียกผู้ทำหน้าที่อุัชฌาย์ในฝ่ายภิกษุณี
  5. เสนทิ : พระเจ้าแผ่นดินแคว้นโกศลครองราชสมบัติอยู่ที่พระนครสาวัตถี
  6. ธัมมจักกัวัตตนสูตร : “พระสูตรว่าด้วยการยังธรรมจักรให้เ็นไ”, พระสูตรว่าด้วยการหมุนวงล้อธรรมเ็นชื่อของ ฐมเทศนา คือพระธรรมเทศนาครั้งแรก ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระัญจวัคคีย์ ที่่าอิสิตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากนั้น ตรัสรู้ ๒ เดือน ว่าด้วยมัชฌิมาฏิทา คือทางสายกลาง ซึ่งเว้นที่สุด ๒ อย่าง และว่าด้วยอริยสัจ ๔ ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ อันทำให้พระองค์สามารถฏิภาณว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ (ญาณคือความตรัสรู้เองโดยชอบอันยอดเยี่ยม) ท่านโกณฑัญญะหัวหน้าคณะัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนานี้แล้ว ได้ดวงตาเห็นธรรม (ธรรมจักษุ) และขอบวชเ็นพระภิกษุรูแรก เรียกว่า เ็นฐมสาวก
  7. มหาชาบดีโคตมี : พระน้านางของพระพุทธเจ้า เดิมเรียกว่าพระนางชาบดี เ็นธิดาของเจ้าสุพุทธะ แห่งโกลิยวงศ์เ็นพระภคินีของพระนางสิริมหามายา เมื่อพระมหามายาสิ้นพระชนม์แล้ว พระเจ้าสุทโธทนะ ได้มอบพระสิทธัตถะให้พระนางเลี้ยงดู ต่อมาเมื่อพระเจ้าสุทโธทนะสวรรคตแล้ว พระนางได้ออกบวชเ็นภิกษุณีองค์แรก ได้รับยกย่องเ็นเอตทัคคะในทางรัตตัญญู(บวชนานรู้เหตุการณ์ก่อนใครๆ) ดู ภิกษุณีสงฆ์
  8. อิสิตนมฤคทายวัน : ่าเ็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ ชื่อ อิสิตนะ อยู่ใกล้เมืองพาราณสี เ็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงฐมเทศนา ธัมมจักกัวัตตนสูตร โรดพระัญจวัคคีย์ บัดนี้เรียก สารนาถ
  9. กัพินทุ : ดู พินทุกั
  10. ติสรณคมนูสัมทา : อุสมบทด้วยไตรสรณคมน์ เ็นวิธีบวชพระที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้พระสาวกบวชกุลบุตรในครั้งต้นพุทธกาล ต่อมาเมื่อทรงอนุญาตการอุสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรมแล้ว ก็ทรงอนุญาตการบวชด้วยไตรสรณคมน์นี้ ให้เ็นวิธีบวชสามเณรสืบมา
  11. ทิฏฐิัตตะ : ผู้ถึงทิฏฐิ คือ บรรลุสัมมาทิฏฐิ, พระอริยบุคคลตั้งแต่โสดาบันขึ้นไ จนถึงผู้ตั้งอยู่ในอรหัตตมรรค ที่เ็นผู้มีัญญินทรีย์แรงกล้า ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ ๘ (ถ้าบรรลุอรหัตตผล กลายเ็นัญญาวิมุต) ดู อริยบุคคล
  12. ัจจุันนังสญาณ : ญาณหยั่งรู้ส่วนัจจุบัน, รีชากำหนดรู้เหตุัจจัยของเรื่องที่เ็นไอยู่ รู้ว่าควรทำอย่างไรในเมื่อมีเหตุหรือผลเกิดขึ้นในัจจุบัน เ็นต้น (ข้อ ๓ ในญาณ ๓)
  13. มหาทานสูตร : สูตรแรกในคัมภีร์ทีฆนิกาย มหาวรรค พระสุตตันติฎก ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ เฉพาะอย่างยิ่ง พระวิัสสีซึ่งเ็นองค์แรกในจำนวน ๗ นั้น
  14. มหาเทส : ข้อสำหรับอ้างใหญ่, หลักอ้างอิงสำหรับเทียบเคียง ๔ คือ ๑.สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งเ็นอกัิยะ ขัดต่อสิ่งเ็นกัิยะ สิ่งนั้นควร ๒.สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งเ็นกัิยะ ขัดต่อสิ่งเ็นอกัิยะ สิ่งนั้นควร ๓.สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากันกับสิ่งเ็นอกัิยะขัดต่อสิ่งเ็นกัิยะ สิ่งนั้นไม่ควร ๔.สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควรแต่เข้ากันกับสิ่งเ็นกัิยะ ขัดต่อสิ่งเ็นอกัิยะ สิงนั้นควร
  15. สันตาทุกข์ : ทุกข์ คือความร้อนรุ่ม, ทุกข์ร้อน ได้แก่ความกระวนกระวายใจ เพราะถูกไฟกิเลสคือ ราคะ โทสะ และโมหะแผดเผา
  16. อชินเวณิ : เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะ มีขนอ่อนนุม จัดเ็นอุจจาสยนะมหาสยนะอย่างหนึ่ง
  17. อนุพุทธวัตติ : ระวัติของพระสาวก ผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า; เขียนสามัญเ็น อนุพุทธระวัติ
  18. อาณาวัติ : ความเ็นไแห่งอาณา, ขอบเขตที่อำนาจกครองแผ่ไ; เ็นไในอำนาจกครอง, อยู่ในอำนาจกครอง
  19. อุถกิริยา : การทำนอกรีตนอกรอยของสมณะ, ความระพฤตินอกแบบแผนของภิกษุสามเณร ท่านจัดรวมไว้เ็น ๓ ระเภท คือ ๑) อนาจาร ระพฤติไม่ดีไม่งาม และเล่นไม่เหมาะสมต่างๆ ๒) สมาจาร ความระพฤติเลวทราม คือ คบหากับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร ทำตนเ็นกุลทูสก ๓) อเนสนา หาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควร เช่น เ็นหมอเสกเ่า ให้หวย เ็นต้น
  20. สิถิล : พยัญชนะออกเสียงเพลา ได้แก่พยัญชนะที่ ๑ ที่ ๓ ในวรรคทั้ง ๕ คือ ก ค, จ ช, ฏ ฑ, ต ท,
  21. บวช : การเว้นทั่ว คือเว้นความชั่วทุกอย่าง (ออกมาจากคำว่า + วช) หมายถึงการถือเพศเ็นนักพรตทั่วไ; บวชพระ คือบวชเ็นภิกษุเรียกว่า อุสมบท, บวชเณร คือ บวชเ็นสามเณร เรียกว่า บรรพชา
  22. กตัญญูกตเวที : ผู้รู้อุการะที่ท่านทำแล้วและตอบแทน แยกออกเ็น ๒ คือ กตัญญู รู้คุณท่าน กตเวที ตอบแทนหรือสนองคุณท่าน; ความกตัญญูกตเวทีว่าโดยขอบเขต แยกได้เ็น ๒ ระดับ คือ กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้มีคุณความดีหรืออุการะต่อตนเ็นส่วนตัว อย่างหนึ่ง กตัญญูกตเวทีต่อบุคคลผู้ได้บำเพ็ญคุณระโยชน์หรือมีคุณความดีเกื้อกูลแก่ส่วนรวม เช่นที่พระเจ้าเสนทิโกศลทรงแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าโดยฐานที่ได้ทรงระกาศธรรมยังหมู่ชนให้ตั้งอยู่ในกุศลกัลยาณธรรม เ็นต้น อย่างหนึ่ง (ข้อ ๒ ในบุคคลหาได้ยาก ๒) - one who is thankful for benefits received and reciprocates them.
  23. กุมารกัสส : พระเถระมหาสาวกองค์หนึ่ง เ็นบุตรธิดาเศรษฐีในพระนครราชคฤห์ คลอดเมื่อมารดาบวชเ็นภิกษุณีแล้ว พระเจ้าเสนทิโกศลทรงเลี้ยงเ็นโอรสบุญธรรม ทารกนั้นได้นามว่า กัสสะ ภายหลังเรียกกันว่า กุมารกัสสะ เพราะท่านเ็นเด็กสามัญ แต่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างราชกุมาร ท่านอุสมบทในสำนักของพระศาสดา ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดาว่าเ็นเอตทัคคะในทางแสดงธรรมวิจิตร
  24. โกณฑัญญะ : พราหมณ์หนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ ๘ คน ผู้ทำนายลักษณะของพระสิทธัตถกุมาร ต่อมาออกบวชตามฏิบัติพระสิทธัตถะ ขณะบำเพ็ญทุกรกิริยา เ็นหัวหน้าพระัญจวัคคีย์ ฟังพระธรรมเทศนาธัมมจักกัวัตตนสูตรแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม ขอบรรพชาอุสมบทเ็นฐมสาวกของพระพุทธเจ้า มีชื่อเรียกกันภายหลังว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ
  25. จักรวรรดิวัตร ๑๒ : ๑.อนฺโตชนสฺมึ พลกายสฺมึ คุ้มครองสงเคราะห์แก่ชนในพระราชฐานและพยุหเสนา ๒.ขตฺติเยสุ แก่กษัตริย์เมืองขึ้นหรือผู้ครองนครภายใต้พระบรมเดชานุภาพ ๓.อนุยนฺเตสุ แก่กษัตริย์ที่ตามเสด็จคือ เหล่าเชื้อพระวงศ์ผู้เ็นราชบริพาร ๔.พฺราหฺมณคหติเกสุ แก่พราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ๕.เนคมชานเทสุ แก่ชาวนิคมและชาวชนบทคือ ราษฎรพื้นเมืองทั้งเหล่าย ๖.สมณพฺราหฺมเณสุ แก่เหล่าสมณพราหมณ์ ๗.มิคกฺขีสุ แก่เหล่าเนื้อนกอันพึงบำรุงไว้ให้มีสืบพันธุ์ ๘.อธมฺมการฏิกฺเขโ ห้ามรามมิให้มีความระพฤติการอันไม่เ็นธรรม ๙.อธนานํ ธนานุทานํ เจือจานทรัพย์ทำนุบำรุงแก่ผู้ขัดสนไร้ทรัพย์ ๑๐.สมณพฺราหฺมเณ อุสงฺกมิตฺวา ญฺหาุจฺฉนํ ไสู่หาพราหมณ์ไต่ถามอรรถฤษณา ๑๑.อธมฺมราคสฺส หานํ เว้นความกำหนัดในกามโดยอาการไม่เ็นธรรม ๑๒.วิสมโลภสฺส หานํ เว้นโลภกล้า ไม่เลือกควรไม่ควร
  26. ญาณ : ความรู้, รีชาหยั่งรู้, รีชากำหนดรู้; ญาณ ๓ หมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑.อตีตังสญาณ ญาณในส่วนอดีต ๒.อนาคตังสญาณ ญาณในส่วนอนาคต ๓.ัจจุันนังสญาณ ญาณในส่วนัจจุบัน; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ ๑.สัจจญาณ หยั่งรู้อริยสัจแต่ละอย่าง ๒.กิจจญาณ หยั่งรู้กิจในอริยสัจ ๓.กตญาณ หยั่งรู้กิจอันได้ทำแล้วในอริยสัจ; อีกหมวดหนึ่ง ได้แก่ วิชชา ๓
  27. ธรรมกาย : “ผู้มีธรรมเ็นกาย” เ็นพระนามอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า (ตามความในอัคคัญญสูตร แห่งทีฆนิกาย าฏิกวรรค) หมายความว่า พระองค์ทรงคิดพุทธพจน์คำสอนด้วยพระหทัยแล้วทรงนำออกเผยแพร่ด้วยพระวาจา เ็นเหตุให้พระองค์ก็คือพระธรรม เพราะทรงเ็นแหล่งที่ระมวลหรือที่ระชุมอยู่แห่งธรรมอันรากฏเิดเผยออกมาแก่ชาวโลก; อนึ่งธรรมกายคือกองธรรมหรือชุมนุมแห่งธรรมนั้น ย่อมเจริญงอกงามเติบขยายขึ้นได้โดยลำดับจนไพบูลย์ ในบุคคลผู้เมื่อได้สดับคำสอนของพระองค์ แล้วฝึกอบรมตนด้วยไตรสิกขาเจริญมรรคให้บรรลุภูมิแห่งอริยชน ดังตัวอย่างดำรัสของพระมหาชาบดีโคตมี เมื่อครั้งกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อรินิพพานตามความในคัมภีร์อทานตอนหนึ่งว่า “ข้าแต่พระสุคตเจ้า หม่อมฉันเ็นมารดาของพระองค์, ข้าแต่พระธีรเจ้า พระองค์ก็เ็นพระบิดาของหม่อมฉัน..รูกายของพระองค์นี้ หม่อมฉันได้ทำให้เจริญเติบโต ส่วนธรรมกายอันเ็นที่เอิบสุขของหม่อมฉัน ก็เ็นสิ่งอันพระองค์ได้ทำให้เจริญเติบโต”; สรุตามนัยอรรถกถาธรรมกายก็คือโลกุตตรธรรม ๙ หรือ อริยสัจ
  28. ธรรมจักร : จักรคือธรรม, วงล้อธรรม หรืออาณาจักรธรรม หมายถึงเทศนากัณฑ์แรก ที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่พระัญจวัคคีย์ (ชื่อของฐมเทศนา เรียกเต็มว่า ธัมมจักกัวัตตนสูตร)
  29. ธรรมเจดียสูตร : สูตรหนึ่งในคัมภีร์มัชฌิมนิกาย มัชฌิมัณณาสก์ แห่งพระสุตตันติฎก ว่าด้วยข้อความที่พระเจ้าเสนทิโกศลกราบทูลพระพุทธเจ้า พรรณนาความเลื่อมใสศรัทธาของพระองค์ที่มีต่อพระรัตนตรัย
  30. ธัมมานุสารี : “ผู้แล่นไตามธรรม”, “ผู้แล่นตามได้วยธรรม”, พระอริยบุคคลผู้ตั้งอยู่ในโสดาัตติมรรค ที่มีัญญินทรีย์แรงกล้า (ถ้าบรรลุผลกลายเ็นทิฏฐิัตตะ) ดู อริยบุคคล
  31. นันทกุมาร : พระราชบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะ และพระนางชาบดีโคตมี ต่อมาออกบวชมีชื่อว่าพระนันทะ คือ องค์ที่มีรูพรรณสัณฐานคล้ายพระพุทธองค์นั่นเอง
  32. ฐมเทศนา : เทศนาครั้งแรก หมายถึง ธัมมจักกัวัตตนสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระัญจวัคคีย์ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ หลังจากวันตรัสรู้ ๒ เดือน ที่่าอิสิตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี
  33. ระมาณ : การวัด, การกะ, เครื่องวัด, เกณฑ์, การถือเกณฑ์; บุคคลในโลกแบ่งตามระมาณคือหลักเกณฑ์ในใจที่ใช้วัดในการที่จะเกิดความเชื่อถือหรือความนิยมเลื่อมใส ท่านแสดงไว้ ๔ จำพวก คือ ๑.รูระมาณ หรือ รูมาณิกา ผู้ถือรูร่าง เ็นระมาณ ๒.โฆษระมาณ หรือ โฆสัมาณิกา ผู้ถือเสียงหรือชื่อเสียงเ็นระมาณ ๔.ธรรมระมาร หรือ ธัมมัมาณิกา ผู้ถือธรรมคือเอาเนื้อหาสาระเหตุผลหลักการและความถูกต้องเ็นระมาณ
  34. วารณา : 1. ยอมให้ขอ, เิดโอกาสให้ข้อ 2.ยอมให้ว่ากล่าวตักเตือน, เิดโอกาสให้ว่ากล่าวตักเตือน, ชื่อสังฆกรรมที่พระสงฆ์ทำในวันสุดท้ายแห่งการจำพรรษา คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ เรียกว่าวันมหาวารณา โดยภิกษุทุกรูจะกล่าววารณา คือ เิดโอกาสให้กันและกันว่ากล่าวตักเตือน ได้ดังนี้ “สงฺฆมฺภนฺเต วาเรมิ, ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ริสงฺกาย วา; วทนฺตุ มํ, อายสฺมนฺโต อนุกมฺํ อุาทาย; สฺสนฺโต ฏิกฺกริสฺสามิ. ทุติยมฺิ ภนฺเต สงฺฆํ วาเรมิ,..... ตติยมฺิ ภนฺเต สงฺฆํ วาเรมิ,.......” แลวว่า “ข้าพเจ้าขอวารณกะสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ตาม ด้วยได้ยินก็ตาม ด้วยน่าระแวงสงสัยก็ตาม, ขอท่านผู้มีอายุทั้งหลายจงว่ากล่าวกะข้าพเจ้าด้วยอาศัยความหวังดี, เอ็นดู, เมื่อข้าพเจ้ามองเห็น จักแก้ไขแม้ครั้งที่สอง.........แม้ครั้งที่สาม.......” (ภิกษุผู้มีพรรษาสูงสุดในที่ระชุมว่า อาวุโส แทน ภนฺเต)
  35. ัจจัยริคคหญาณ : ดู นามรุัจจัยริคคหญาณ
  36. พรหมไทย : ของอันพรหมระทาน, ของให้ที่ระเสริฐสุด หมายถึง ที่ดิน หรือบ้านเมืองที่พระราชทานเ็นบำเหน็จ เช่น เมืองอุกกุฏฐะที่พระเจ้าเสนทิโกศลพระราชทานแก่โกขรสาติพราหมณ์ และนครจัมาที่พระเจ้าพิมพิสารพระราชทานให้โสณทัณฑพราหมณ์กครอง
  37. พาราณสี : ชื่อเมืองหลวงของแคว้นกาสี อยู่ริมแม่น้ำคงคา ัจจุบันเรียก พานาราส หรือ เบนาเรส (Banaras, Benares) ่าอิสิตนมฤคทายวัน ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงฐมเทศนาซึ่งัจจุบันเรียกว่า สารนาถ อยู่ห่างจากตัวเมืองพาราณสีัจจุบันระมาณ ๖ ไมล์
  38. พินทุกั : การทำพินทุ, การทำจุดเ็นวงกลม อย่างใหญ่เท่าแววตานกยูง อย่างเล็กเท่าหลังตัวเรือด ที่มุมจีวร ด้วยสีเขียวคราม โคลน หรือดำคล้ำ เพื่อทำจีวรให้เสียสีหรือมีตำหนิตามวินัยบัญญัติ และเ็นเครื่องหมายช่วยให้จำได้ด้วย; เขียนพินทุกั ก็ได้, คำบาลีเดิมเ็นกัพินทุ, เรียกกันง่ายๆ ว่า พินทุ - a smudge that makes a new robe allowable; dark mark or small black dot applied to a new robe to make it lawful. v. (ทำกัพินทุ) to make a robe allowable by applying a disfiguring smudge (by which the owner can identify it); mark with a smudge.
  39. พุทธกิจ : กิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ, การงานที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำพุทธกิจระจำวัน ๕ พุทธกิจที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเ็นระจำในแต่ละวัน มี ๕ อย่าง คือ ๑.ุพฺพณฺเห ิณฺฑาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต ๒.สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓.โทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำระทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ ๔.อฑฺฒรตฺเต เทวญฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบัญหาเทวดา ๕.จฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไรดหรือไม่ (สรุท้ายว่า เอเต ญฺจวิเธ กิจฺเจ วิโสเธติ มุนิุงฺคโว พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ระเสริฐทรงยังกิจ ๕ ระการนี้ให้หมดจด)
  40. ภัททกาิลานี : พระมหาสาวิกาองค์หนึ่ง เ็นธิดาพราหมณ์โกสิยโคตรในสาคลนครแห่งมัททรัฐ (คัมภีร์อทานว่าไว้ชัดดังนี้ แต่อรรถกถาอังคุตตรนิกายคลาดเคลื่อนเ็นแคว้นมคธ) พออายุ ๑๖ ี ได้สมรสกับผลิมาณพ (พระมหากัสสะ) ต่อมามีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงออกบวชเ็นริพาชิกา เมื่อพระมหาชาบดีผนวชเ็นภิกษุณีแล้ว นางได้มาบวชอยู่ในสำนักของพระมหาชาบดี เจริญวิัสสนากัมมัฏฐานด้วยความไม่ระมาท ได้บรรลุพระอรหัต ได้รับยกย่องว่าเ็นเอตทัคคะในทางุพเพนิวาสานุสสติ เรียกภัททากาิลานี บ้าง ภัททากิลานีบ้าง
  41. มฤคทายวัน : ่าเ็นที่ให้อภัยแก่เนื้อ หมายความว่าห้ามทำอันตรายแก่สัตว์ใน่านี้ เขียน มิคทายวัน ก็ได้ เช่น อิสิตนมฤคทายวัน มัททกุจฉิมิคทายวัน เ็นต้น
  42. มหาบุรุษลักษณะ : ลักษณะของมหาบุรุษมี ๓๒ ระการ มาในมหาทานสูตร แห่งทีฆนิกาย มหาวรรค และลักขณสูตร แห่งทีฆนิกาย าฏิกวรรค พระสุตตันติฎก
  43. มหาวรรค : ชื่อคัมภีร์อันเ็นหมวดที่ ๓ ใน ๕ หมวด แห่งพระวินัยิฎก คือ อาทิกัมม์ าจิตตีย์ มหาวรรค จุลวรรค บริวาร, มหาวรรค มี ๑๐ ขันธกะ (หมวด ตอน หรือบท) คือ ๑.มหาขันธกะ (ว่าด้วยการบรรพชาอสมบท เริ่มแต่เหตุการณ์หลังตรัสรู้ใหม่ๆ และการระดิษฐานพระศาสนา) ๒.อุโสถขันธกะ (ว่าด้วยอุโบสถและสีมา) ๓.วัสสูนายิกขันธกะ (ว่าด้วยการเข้าพรรษา) ๔.วารณาขันธกะ (ว่าด้วยวาณา) ๕.จัมมขันธกะ (ว่าด้วยเครื่องหนัง เช่น รองเท้าและเครื่องลาด) ๖.เภสัชชขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องยาตลอดจนเรื่องกัิยะ อกัิยะ และกาลิกทั้ง ๔) ๗.กฐินขันธกะ (ว่าด้วยกฐิน) ๘.จีวรขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องจีวร) ๙.จัมเยยขันธกะ (ว่าด้วยข้อควรทราบบางอย่างเกี่ยวกับนิคคหกรรมต่างๆ) ๑๐.โกสัมพิกขันธกะ (ว่าด้วยเรื่องภิกษุชาวเมืองโกสัมพี วิวาทกันและสังฆสามัคคี) ดู ไตริฎก
  44. มหาวัน : 1.่าใหญ่ใกล้นครกบิลพัสดุ์ ที่พระพุทธเจ้าเคยไทรงพักผ่อน ระหว่างระทับอยู่ที่นิโครธาราม 2.่าใหญ่ใกล้เมืองพาราณสี ณ ที่นี้พระศาสดาทรงอนุญาตให้มีภิกษุณีขึ้นเ็นครั้งแรก โดยระทานอนุญาตให้พระมหาชาบดีบวชเ็นภิกษุณี ด้วยวิธีรับครุธรรม ๘ ระการ
  45. มิจฉาวาจา : วาจาผด, เจรจาผิด ได้แก่ ๑.มุสาวาท พูดด ๒.ิสุณาวาจา พูดส่อเสียด ๓.ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ๔.สัมผัลา พูดเพ้อเจ้อ
  46. ยส : พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เ็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีมีความเ็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตน เ็นเหมือน่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงออกจากบ้านไพบพระพุทธเจ้าที่่าอิสิตนมฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอนุุพพีกถา และอริยสัจโรด ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เศรษฐีบิดาของตน ก็ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วขออุสมบท เ็นภิกษุสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า
  47. ยสะ : พระมหาสาวกองค์หนึ่ง เ็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสีมีความเ็นอยู่อย่างสุขสมบูรณ์ วันหนึ่งเห็นสภาพในห้องนอนของตน เ็นเหมือน่าช้า เกิดความสลดใจคิดเบื่อหน่าย จึงออกจากบ้านไพบพระพุทธเจ้าที่่าอิสิตนมฤคทายวัน ในเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาอนุุพพีกถา และอริยสัจโรด ยสกุลบุตรได้ดวงตาเห็นธรรม ต่อมาได้ฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงแก่เศรษฐีบิดาของตน ก็ได้บรรลุอรหัตตผลแล้วขออุสมบท เ็นภิกษุสาวกองค์ที่ ๖ ของพระพุทธเจ้า
  48. ยโสธรา : 1.เจ้าหญิงศากยวงศ์ เ็นพระราชบุตรีของพระเจ้าชยเสนะ เ็นพระมเหสีของพระเจ้าอัญชนะผู้ครองกรุงเทวทหะ เ็นพระมารดาของพระนางสิริมหามายา และพระนางชาบดีโคตมี 2.อีกชื่อหนึ่งว่าพิมพา เ็นเจ้าหญิงแห่งเทวทหนคร เ็นพระราชบุตรีของพระเจ้าสุพุทธะ เ็นพระชายาของพระสิทธัตถะ เ็นมารดาของพระราหุล ต่อมาออกบวช เรียกชื่อว่า พระภัททา กัจจานา
  49. รูนันทา : พระราชบุตรีของพระเจ้าสุทโธทนะและพระนางชาบดีโคตมี เ็นพระกนิฏฐภคินีต่างพระมารดาของพระสิทธัตถะ
  50. วจีทุจริต : ระพฤติชั่วด้วยวาจา, ระพฤติชั่วทางวาจามี ๔ อย่างคือ ๑.มุสาวาท พูดเท็จ ๒.ิสุณาวาจา พูดส่อเสียด ๓.ผรุสวาจา พูดคำหยาบ ๔.สัมผัลา พูดเพ้อเจ้อ ดู ทุจริต
  51. [1-50] | 51-68

(0.0276 sec)