direct one's attention to : (IDM) ; นึกถึง ; Related:จัดการ, ดำเนินการ ; Syn:draw to

think of : (VT) ; คิดถึง ; Related:นึกถึง

out of consideration for : (IDM) ; นึกถึงบางคน / บางสิ่ง ; Related:พิจารณาบางคนหรือบางสิ่ง

think a great deal of : (IDM) ; นึกถึงในแง่ดี

think a lot of : (IDM) ; นึกถึงในแง่ดี

think highly of : (IDM) ; นึกถึงในแง่ดี

think much of : (IDM) ; นึกถึงในแง่ดี

นึกถึง : (V) ; think of ; Related:remember, regard ; Syn:คิดถึง, ระลึกถึง, รำลึกถึง ; Samp:ฉันอาจจะนึกถึงแฟนเก่า แต่ความรู้สึกก็ไม่วาบหวามใจเหมือนแต่ก่อน

นึกถึง : (V) ; think of ; Related:call to mind ; Syn:นึกไปถึง, คิดถึง ; Samp:เมื่อพูดถึงจอภาพวีจีเอส่วนใหญ่จะนึกถึงแต่จอภาพแบบวีจีเอคัลเลอร์เท่านั้น

หวนนึก : (V) ; recall ; Related:remember, recognize ; Syn:นึกถึง, ระลึกถึง, หวนคิดถึง ; Samp:ชายแก่หวนนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาในอดีต

หวนนึก : (V) ; recall ; Related:retrospect, think back, recollect, remember ; Syn:นึกถึง, ระลึกถึง, หวนคิด ; Samp:ชายแก่หวนนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในอดีต

คิดถึง : (V) ; think of ; Related:reflect, remind, call to mind, have at heart ; Syn:นึกถึง, คำนึงถึง ; Samp:คนส่วนใหญ่จะคิดถึงแต่ตนเองและแก่งแย่งเพื่อไปถึงเป้าหมายส่วนตัว

คะนึง : (V) ; think of ; Related:consider, contemplate, reflect ; Syn:คิดถึง, นึกถึง ; Samp:เขาหวนคะนึงถึงคนรัก

คำนึงถึง : (V) ; consider ; Related:take into consideration, think over ; Syn:คิดถึง, นึกถึง, พิจารณาถึง ; Def:คิดพิจารณาหรือคิดทบทวนไตร่ตรอง ; Samp:ผู้เขียนบทโฆษณาต้องคำนึงถึงผู้อ่านหรือผู้ฟังมากกว่าคำนึงถึงรสนิยมเฉพาะของตนเอง

นึกถึง : ก. ระลึกถึง.

ขยะแขยง : [ขะหฺยะขะแหฺยง] ก. เกลียดเมื่อได้เห็นหรือถูกต้องสิ่งที่สกปรก น่ารังเกียจหรือน่าเกลียดน่ากลัวหรือเมื่อนึกถึงสิ่งนั้น, แขยง ก็ว่า.

แขยง ๒ : [ขะแหฺยง] ก. เกลียดเมื่อได้เห็นหรือถูกต้องสิ่งที่สกปรก น่ารังเกียจ หรือน่าเกลียดน่ากลัว หรือเมื่อนึกถึงสิ่งนั้น, ขยะแขยง ก็ว่า.

คิดถึง : ก. นึกถึง, นึกถึงด้วยใจผูกพัน.

นึก : ก. คิด เช่น นึกถึงความหลัง นึกถึงอนาคต นึกไม่ถึง, คิดขึ้นมาในฉับพลัน เช่น นึกขึ้นมาได้.

อาวัชนาการ : ความรำพึง, การรำลึก, นึกถึง

เชื่อดายไป : เชื่อเรื่อยไป, เชื่อดะไป โดยไม่นึกถึงเหตุผล

ธัมมาธิปเตยยะ : ถือธรรมเป็นใหญ่ คือ นึกถึงความจริง ความถูกต้องสมควรก่อนแล้วจึงทำ บัดนี้นิยมเขียน ธัมมาธิปไตย ดู อธิปเตยยะ

บริกรรม : 1.(ในคำว่า “ถ้าผ้ากฐินนั้นมีบริกรรมสำเร็จด้วยดี”) การตระเตรียม, การทำความเรียบร้อยเบื้องต้น เช่น ซัก ย้อม กะ ตัด เย็บ เสร็จแล้ว 2.สถานที่เขาลาดปูน ปูไม้ ขัดเงา หรือชักเงา โบกปูน ทาสี เขียนสี แต่งอย่างอื่น เรียกว่าที่ทำบริกรรม ห้ามภิกษุถ่มนำลาย หรือนั่งพิง 3.การนวดฟั้นประคบ หรือถูตัว 4.การกระทำขั้นต้นในการเจริญสมถกรรมฐาน คือ กำหนดใจโดยเพ่งวัตถุ หรือนึกถึงอารมณ์ที่กำหนดนั้น ว่าซ้ำๆ อยู่ในใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อทำใจให้สงบ 5.เลือนมาเป็นความหมายในภาษาไทย หมายถึงท่องบ่น, เสกเป่า

มโนภาวนีย์ : ผู้เป็นที่เจริญใจ, ผู้ทำให้จิตใจของผู้นึกถึงเจริญงอกงาม หมายถึง บุคคลที่เมื่อเราจะระลึก คะนึง ใส่ใจถึง ก็ทำให้สบายใจ จิตใจสดชื่น ผ่องใส (ตามปกติ เป็นคุณสมบัติของพระภิกษุ)

มาร : 1.สิ่งที่ฆ่าบุคคลให้ตายจากความดีหรือจากผลที่หมายอันประเสริฐ, ตัวการที่กำจัดหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี มี ๕ คือ ๑.กิเลสมาร มารคือกิเลส ๒.ขันธมาร มารคือเบญจขันธ์ ๓.อภิสังขารมาร มารคืออภิสังขารที่ปรุงแต่งกรรม ๔.เทวปุตตมาร มารคือเทพบุตร ๕.มัจจุมาร มารคือความตาย 2.พระยามารที่มีเรื่องราวปรากฏบ่อยๆ ในคัมภีร์ คอยมาแทรกแซงเหตุการณ์ต่างๆ ในพุทธประวัติ เช่น ยกพลเสนามาผจญพระมหาบุรุษในวันที่จะตรัสรู้ พระองค์ชนะพระยามารได้ด้วยทรงนึกถึงบารมี ๑๐ คือ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา มารในกรณีเช่นนี้ บางทีท่านอธิบายออกชื่อว่าเป็นสวัตดีมาร ซึ่งครองแดนหนึ่งในสวรรค์ชั้นสูงสุด แห่งระดับกามาวจรคือปรนิมิตวสวัตดี เป็นผู้คอยขัดขวางเหนี่ยวรั้งบุคคลไว้มิให้ล่วงพ้นจากแดนกามซึ่งอยู่ในอำนาจครอบงำของตน อย่างไรก็ดี ผู้ศึกษาพึงพิจารณาเทียบจากมาร ๕ ในความหมายที่ 1.ด้วย

เมถุนสังโยค : อาการพัวพันเมถุน, ความประพฤติที่ยังเกี่ยวเนื่องกับเมถุน มี ๗ ข้อ โดยใจความคือ สมณะบางเหล่าไม่เสพเมถุน แต่ยังยินดีในเมถุนสังโยค คือ ชอบการลูบไล้และการนวดของหญิง, ชอบซิกซี้ เล่นหัวสัพยอกกับหญิง, ชอบจ้องดูตากับหญิง, ชอบฟังเสียงหัวเราะขับร้องของหญิง, ชอบนึกถึงการเก่าที่เคยหัวเราะพูดเล่นกับหญิง, เห็นชาวบ้านเขาบำรุงบำเรอกันด้วยกามคุณแล้วปลื้มใจ, หรือแม้แต่ประพฤติพรหมจรรย์ โดยตั้งความปรารถนาที่จะเป็นเทพเจ้า

สังเวช : ความสลดใจ, ความกระตุ้นให้คิด, ความรู้สึกเตือนสำนึก; ในทางธรรมความรู้สึกสลดใจที่ทำให้คิดได้ ทำให้จิตใจหันมานึกถึงสิ่งที่ดีงาม เกิดความไม่ประมาท เพียรพยายามทำสิ่งที่เป็นกุศลต่อไป จึงจะเรียกว่า สังเวช ความสลดใจ แล้วหงอยหรอหดหู่เสีย ไม่เรียกว่าเป็นความสังเวช

อัตตาธิปไตย : ความถือตนเป็นใหญ่ จะทำอะไรก็นึกถึงตน คำนึงถึงฐานะเกียรติศักดิ์ศรี หรือผลประโยชน์ของตนเป็นสำคัญ, พึงใช้แต่ในขอบเขตที่เป็นความดี คือ เว้นชั่วทำดีด้วยเคารพตน (ข้อ ๑ ในอธิปไตย ๓)

อารักขกัมมัฏฐาน : กรรมฐานเป็นเครื่องรักษาตน, กรรมฐานเป็นเครื่องรักษาผู้ปฏิบัติให้สงบระงับ ซึ่งควรเจริญเป็นนิตย์ เป็นของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงไว้ มี ๔ อย่างคือ ๑) พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ที่มีในพระองค์ และทรงเกื้อกูลแก่ผู้อื่น ๒) เมตตา แผ่ไมตรีจิต คิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า ๓) อสุภะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เห็นเป็นไม่งาม ๔) มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตนเป็นธรรมดา

กามาธิมุตฺต : ค. ผู้น้อมนึกถึงกาม, ผู้จดจ่อในกาม

มรณานุสฺสติ : (อิต.) ระลึกถึงซึ่งความตาย, ความนึกถึงความตาย, การนึกถึงความตาย. วิ. มรณานํ อนุสฺสติ มรณานุสฺสติ. เป็น ฉ. ตัป. รูปฯ ๓๓๖.